วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2557

creative commons





เว็ปนี้ เป็นหน้าเว็ปของTDRL  สถาบันเพื่อการพัฒนาประเทศไทย เว็ปนี้ทำให้เราได้เรารู้ข่าวสารและสาระดีๆที่เป็นประโยชน์มากมายโดยในเว็ปจะบอกถึงการวิเคราะห์ข่าวสารในไทยเชิงทางด้านกฏหมายเป็นหลักทันต่อข่าวบ้านเมืองที่กำลังร้อนอยู่ในประเทศ นอกจากนั้นยังมีการแชร์ความรู้และแสดงข้อคิดเห็นบนเว็ปไซด์ 
เว็ปนี้จะมีทั้งหมด 4สัญลักษณ์เราจะสามารถเห็นสัญลักษณ์ทั้งหมดนี้ได้ทางด้านล่างขวามือ สัญลักษณืที่เราเห็นนี้ เป็นการอนุญาติที่แชร์ ข้อมูลต่างๆไปในเว็ปอื่นๆได้ อย่างถูกกฏหมาย และลิขสิทธิ์ และยังแสดงที่มา ยอมรับในอ้างอิงในการสร้างสรรค์ และห้ามนำไปดัดแปลงหรือแก้ไขต้นฉบับ ใช้สัญญาอนุญาติแบบเดัยวกันหากนำไปดัดจะต้องใช้อนุญาตแบบเดียวกันทุกสัญลักษณ์ที่กล่าวมานี้เป็นลัขสิทธิ์ของเว็ปนี้ที่ได้มีไว้เพื่อเว็ปไซร์นี้และเป็นประโยชน์ต่อทางเว็ปไซด์




http://www.rsu.ac.th/ 



ว็ปนี้ เป็นหน้าเว็ปของมหาวิทยาลัยรังสิต ที่สามารถเข้าถึงประวัติความรู้เกี่ยวกับการศึกษาของทางมหาวิทยาลัยทั้งหมดให้กับผู้ที่สนใจเกี่ยวกับโครงการต่างๆสิทธิ์พิเศษหรือแม้แต่แนววทางการศึกษาที่สามารถให้ประโยชน์แก่ผู้ที่เข้ามารับชม

จากการที่ได้เข้ามาในเว็ปจะเห็นสัญลักษณ์ CC เล็กๆอยู่ที่ด้านล่างซ้ายมือ
สัญลักษณ์นี้แสดงความหมายถึง ลิขสิทธิ์ทางด้านกฎหมาย เราสามรถแชร์ผลงานต่างๆ
หรือมีการอัปเดทงานต่างๆที่เกิดขึ้นในเว็ปนี้นำไปเผยแพร่ออกสู่สาธารณะได้ "โดยถูกวิธีและถูกกฏหมาย"เช่นภาพ เสียง





http://library.stou.ac.th/blog/?p=2942


จากเว็บดังกล่าว เป็นเว็บที่ให้สาระความรู้เป็นของสำนักงานสารสนเทศของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมมาธิราช ในบล็อคนี้ก็จะมีการอธิปรายเกี่ยวกับเนื้อหาของ creative commons เป็นเว็บที่ให้สาระความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสัญลักษณ์ของโปรแกรม creative commons จากในเว็บเราจะสังเกตุเห็นสัญลักษณ์

ก็คือสามารถนำมาแชร์ บอกต่อ ส่งต่อ เพื่อให้ผู้อ่านได้รับความรู้เพิ่มเติมแต่ก็จะมีเงื่อนไขที่ว่าต้องมีการบอกถึงแหล่งที่มาด้วยและห้ามมีการดัดแปลงแก้ไขข้อมูลในเว็บ





http://www.dlo.co.th/node/163


จากเว็บดังกล่าว เป็นเว็บที่ให้ข้อมูลข่าวสารเพื่อเติมเพื่อให้ก่อเกิดความรู้ จากในเว็บนี้มีการอภิปรายประมาณว่า สัญญาอนุญาตแบบครีเอทีฟคอมมอน ถูกสร้างขึ้นเพื่อสนองความต้องการ ของคนทุกคนที่เข้าใจว่านวัตกรรมและไอเดียใหม่ๆ เกิดจากการต่อยอดไอเดียที่มีอยู่เดิม รูปแบบสัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอน ช่วยให้ผู้สร้างงานสามารถรักษาลิขสิทธิ์ ไว้ แต่ในขณะเดียวกันก็อนุญาตให้คนอื่นใช้งานชิ้นนั้นภายใต้เงื่อนไขที่ผู้สร้าง เป็นคนกำหนดเอง โดยจากภาพดังกล่าวเราจะสังเกตุเห็นสัญลักษณ์ของ creative commons ได้จากด้านล่างทางซ้ายมือ ซึ่งศัญลักษณ์นี้มีความหมายว่า "ให้เผยแพร่ดัดแปลง โดยต้องระบุที่มา แต่ห้ามใช้เพื่อการค้า" 




วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2557

คำขวัญประจำจังหวัด
"เมืองมะขามหวาน อุทยานน้ำหนาว ศรีเทพเมืองเก่า เขาค้ออนุสรณ์ นครพ่อขุนผาเมือง"



ตราประจำจังหวัดเพชรบูรณ์ ประกอบด้วยเพชรกับภูเขาและไร่ยาสูบ อยู่ในรูปวงกลมมี ลายกนกไทยล้อม โดยรอบ เพชรเจียรนัยเป็นรูปหัวแหวน รูปคล้ายสามเหลี่ยมหัวกลับลงดินลอยอยู่บนท้องฟ้า เหนือภูเขา พื้นดินเป็น ไร่ยาสูบ และมีอักษรเขียนว่า “จังหวัดเพชรบูรณ์"
            ความหมายของตราประจำจังหวัด
            ความหมายเกี่ยวกับเพชร มีความหมาย 2 ประการ
            ประการที่ 1 เนื่องจากจังหวัดชื่อเพชรบูรณ์ ซึ่งแปลว่าอุดมสมบูรณ์ด้วยเพชร และมีผู้เคย ขุดพบหินที่มีความแข็ง มากกว่าหินธรรมดา มีประกายแวววาวสุกใส เหมือนเพชรขุดได้ในเขตบ้านทุ่งสมอ นายาว อำเภอหล่มสัก หินที่ขุดได้นี้ เรียกกันว่า “เขี้ยวหนุมาณ” ซึ่งถือว่าเป็นหิน ตระกูลเดียวกันกับเพชร แต่มีความแข็งน้อยกว่าเพชร มีผู้เชื่อว่าเขี้ยวหนุมาณนี้ ถ้าทิ้งไว้ตามสภาพเดิมนานต่อไปอีกประมาณ 1,000 ปี จะกลาย เป็นเพชรจริง ๆ ได้และนอกจากนี้ยังมีผู้เชื่อว่า ภูเขาชื่อ “ผาซ่อนแก้ว” ในเขตอำเภอหล่มสักมีเพชร จึงตั้งชื่อว่า “ผาซ่อนแก้ว”
            ประการที่ 2 เนื่องจากจังหวัดเพชรบูรณ์ มีทรัพยากรธรรมชาติ ที่มีค่าอุดมสมบูรณ์ เช่น ไม้สักในดินมีแร่ธาตุที่มีค่า ตนประมาค่ามิได้ ซึ่งนับว่ามีค่าสูง เช่นเดียวกันกับค่าของเพชรทีเดียวและปรากฏกว่าในเขตตำบลน้ำก้อ อำเภอหล่มสัก เดิมชาวบ้านเรียกว่า “บ้านน้ำบ่อคำ” ซึ่งมี ประวัติว่าเคยเป็นที่ตั้งโรงหล่อ แร่ทองคำของฝรั่งชาวยุโรป ไม่ทราบสัญชาติ มีซากวัตถุก่อสร้างปรากฏร่องรอยเหลืออยู่ความหมายเกี่ยวกับภูเขา เนื่องจากด้วยพื้นที่ จังหวัดเพชรบูรณ์ มีภูเขามากมายสลับซับซ้อนเป็นทิวเขาเทือกใหญ่เรียกว่า “เทือกเขาเพชรบูรณ์”ความหมายเกี่ยวกับไร่ยาสูบ
            เนื่องจากจังหวัดเพชรบูรณ์มียาสูบพื้นเมืองพันธุ์ดีเป็นสินค้าสำคัญของจังหวัดเพชรบูรณ์ แต่นานมาแล้ว มีรสเป็นเลิศกว่ายาสูบ ที่อื่น ทั้งหมดของเมืองไทย ยาสูบพันธุ์ดี ที่มีชื่อเสียงนี้ ปลูกได้ผลที่บ้านป่าแดง อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ แต่ในปัจจุบันนี้ยาสูบพื้นเมืองชนิดนี้มี น้อยลง เพราะราษฎรชาวบ้านกลับมานิยมปลูกยาสูบพันธุ์เบอร์เล่ย์ เพื่อบ่มให้แก่สำนักงานไร่ยาสูบ เพราะได้ราคาดีกว่ายาสูบพื้นเมือง





พื้นธงเป็น 3 ริ้ว มี 2 สี ริ้วสีขาวอยู่กลาง ใหญ่กว่าริ้วสีเขียวใบไม้ ซึ่งเป็นริ้วที่อยู่ริม 2 ข้าง ประมาณ 1/3 ตรงกลางผืนธงประกอบด้วย เครื่องหมายตราประจำจังหวัด เพชรสีขาว น้ำมันก๊าส มีรัศมีโดยรอบ ภูเขามีสีน้ำเงิน และสีอื่นเหลือบเหมือนของจริง เชิงภูเขาแลเห็นเป็นทิวไม้ขึ้นเป็นสีใบไม้แก่ ต้นยาสูบ สีเขียวใบไม้เหมือนของจริง ตัวอักษร “จังหวัดเพชรบูรณ์” สีแดงลายกนกไทย ล้อมรอบวงกลม เครื่องหมายตราประจำ จังหวัดสีทองตัดเส้นสีแดงผืนธงยาว 250 ซ.ม. กว้าง 150 ซ.ม. ตามเครื่องหมาย ประจำจังหวัดที่ประดิษฐ์อยู่ตรงกลาง ผืนธง มีความกว้างเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 66 ซ.ม. เทือกเขา เพชรบูรณ์นี้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงขนานนามว่า ภูเขาบันทัดและเขาปันน้ำยาสูบ พื้นเมือง เพชรบูรณ์ พระองค์ก็ได้ทรงรับรองว่า มีคุณภาพเป็นยอดเยี่ยมกว่ายาสูบที่อื่น ทั้งหมดทั่วเมืองไทย ซึ่งได้ทรงนิพนธ์ไว้ในหนังสือชื่อ "นิทานโบราณคดี" นิทานที่ 10 เรื่องความไข้เมืองเพชรบูรณ์
ประวัติย่อ จังหวัดเพชรบูรณ์ 



     “จังหวัดเพชรบูรณ์” เป็นดินแดนประวัติศาสตร์บนลุ่มน้ำป่าสัก ที่ปรากฏหลักฐานการค้นพบทางโบราณคดี ได้แก่โครงกระดูกมนุษย์และเครื่องมือเครื่องใช้ตั้งแต่ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ในหลายพื้นที่ เช่น วังโป่ง ชนแดน บึงสามพัน วิเชียรบุรีและศรีเทพ และที่สำคัญยิ่งคือ บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพได้ปรากฏร่องรอยอารยธรรมที่มีความเจริญต่อเนื่องยาวนานมานับพันปีในสถานที่เดียวกัน ได้แก่ จารึกอักษรปัลลวะ โบราณสถานสมัยทวาราวดี ได้แก่ เขาคลังใน เขาคลังนอก และเขาถมอรัตน์  โบราณสถานสมัยขอม ได้แก่ ปรางค์ศรีเทพและปรางค์สองพี่น้อง นอกจากนั้น ยังมีแท่งศิลาจารึกหินทราย เขียนเป็นอักษรขอม ภาษาสันสกฤต ซึ่งข้อความระบุว่าจารึกมาเกือบ 1000 ปีแล้ว สันนิฐานว่า น่าจะนำมาจากเมืองศรีเทพ ปัจจุบันนี้ ได้อัญเชิญมาตั้งเป็นเสาหลักเมืองเพชรบูรณ์
     เพชรบูรณ์เป็นดินแดนแห่งวีรกษัตริย์ “พ่อขุนผาเมือง”เจ้าเมืองราด (ซึ่งเชื่อกันว่าอยู่ที่หล่มสัก) ผู้มีคุณูปการในการร่วมก่อตั้งอาณาจักรของคนไทยเป็นแห่งแรกในดินแดนสุวรรณภูมินั่นคือ อาณาจักรสุโขทัย ร่วมกับพ่อขุนบางกลางหาว เจ้าเมืองบางยาง(พ่อขุนศรีอินทราทิตย์)  และในสมัยสุโขทัยนี้เองมีหลักฐานว่า เพชรบูรณ์ได้มีความเจริญตั้งเป็นบ้านเมืองอย่างมั่นคงแล้ว ดูจากศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงหลักที่ 1 กล่าวถึงเมือง ลุมบาจาย (เชื่อว่าได้แก่ หล่มเก่า) และศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่93 วัดอโศการามได้มีการกล่าวไว้ว่า เมืองวัชชปุระ (สันนิษฐานว่าคือเมืองเพชรบูรณ์)เป็นเขตรัฐสีมาของกรุงสุโขทัยด้านตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนั้นยังปรากฏแนวคันดินคูน้ำตาม(แนวถนนสันคูเมืองในปัจจุบัน)  ที่สร้างไว้เพื่อป้องกันเมืองในสมัยนั้นและหลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญในยุคนี้อีกชิ้นหนึ่งคือจารึกลานทองคำที่พบในเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ สมัยสุโขทัย ในวัดมหาธาตุได้ระบุถึงชื่อเมืองเพชรบูรณ์ว่า “เพชบุร” ซึ่งได้มีการตีความคำว่า “เพช” น่าจะมาจากคำว่า “พีช” อันเป็นคำบาลี แปลว่า “พืช” ฉะนั้น ชื่อเมืองเพชรบูรณ์ในยุคแรก ๆ ก็น่าจะหมายถึง เมืองแห่งพืชพันธุ์ธัญญาหาร นั่นเอง และชื่อดังกล่าวนี้ก็ยังได้ปรากฏในหลักฐานเอกสารในยุคต่อ ๆ มาอีกด้วย นั่นคือ แผนที่ไตรภูมิพระร่วมในสมัยต้นกรุงศรีอยุธยา แผนที่เดินทัพสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ และตำราพิชัยสงครามเมืองเพชรบูรณ์ ฉบับพรหมบุญ เขียนชื่อเมืองเพชรบูรณ์ในอดีตว่า “เพชบูรร
     สมัยกรุงศรีอยุธยา แผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ปรากฏหลักฐานว่า เพชรบูรณ์เป็นหัวเมืองชั้นโท มีหน้าที่นำทัพในการศึกสงครามด้านเมืองลาว และเป็นศูนย์กลางในการรวบรวมสินค้าของป่าจากหัวเมืองต่าง ๆ ส่งออกผ่านกรุงศรีอยุธยา นอกจากนั้นยังปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีคือกำแพงเมืองเก่าของเมืองเพชรบูรณ์ที่สร้างด้วยการก่ออิฐถือปูนประกอบด้วยศิลาหินทราย มีป้อมปราการทั้ง 4 มุมและประตูทางเข้าเมือง สันนิฐานว่า สร้างมาตั้งแต่สมัยกลางกรุงศรีอยุธยา และยังมีโบสถ์และพระพุทธรูปศิลปะสมัยอยุธยาประดิษฐานอยู่ในวัดหลายแห่งในจังหวัดเพชรบูรณ์ เช่น วัดช้างเผือก วัดโพธิ์กลางนางั่ว เป็นต้น  และตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ได้ระบุว่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ทรงเคยเสด็จเดินทัพผ่านจังหวัดเพชรบูรณ์เพื่อไปตีเมืองเขมร จึงได้มีการสร้างศาลสมเด็จพระนเรศวร ฯ ไว้ ณ บริเวณนั้นที่อำเภอวิเชียรบุรี
     ในสมัยกรุงธนบุรี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าพระยาจักรี ได้นำทัพต่อสู้กับพม่าที่พิษณุโลก ต่อมาเสบียงขาดแคลน จึงได้ล่าทัพมาสะสมเสบียงที่เพชรบูรณ์ ก่อนจะเดินทัพกลับไปต่อสู้กับพม่า ได้ทรงเสด็จมานมัสการพระพุทธรูปเอาฤกษ์เอาชัยที่วัดมหาธาตุ ครั้งพอเสด็จออกมายังไพร่พลก็ได้เปล่งเสียงเรียกขวัญว่า “มีชัย” 3 ครั้ง  พระพุทธรูปองค์นั้นจึงได้ชื่อว่า “หลวงพ่อเพชรมีชัย” มาจนทุกวันนี้
     ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์  ในพงศาวดารฯ ได้มีบันทึกถึงเหตุการณ์ศึกเจ้าอนุวงศ์ในสมัยรัชกาลที่ 3 ที่มีการนำกองทัพจากกรุงเทพฯมาสู้รบปราบกบฏจากเมืองลาวในพื้นที่เมืองเพชรบูรณ์และเมืองหล่ม ยังผลให้มีการเปลี่ยนแปลงเมืองหล่มที่อยู่ริมน้ำพุงครั้งยิ่งใหญ่จนมีการตั้งเมืองหล่มสักที่ริมแม่น้ำป่าสักขึ้นมาใหม่  ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการจัดระเบียบหัวเมืองใหม่ มีการตั้งเมืองเพชรบูรณ์ขึ้นเป็น “มณฑลเพชรบูรณ์” เพื่อเป็นหัวเมืองเอกคอยป้องกันราชอาณาจักรจากศัตรูทางเหนือ  มีข้าหลวงเทศาภิบาลปกครอง 3 ท่าน มีราชทินนามว่า พระยาเพชรรัตน์สงครามฯ และยังทรงโปรด ฯ ให้พระเจ้าลูกยาเธอพระองค์หนึ่งทรงกรม มีพระนามว่า “เจ้าฟ้ากรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย” อีกด้วย  นอกจากนั้น ยังทรงโปรด ฯ ให้ “กรมสมเด็จพระยาดำรงราชานุภาพ” เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยสมันนั้น ได้เสด็จมาตรวจราชการเมืองเพชรบูรณ์ และทรงได้บันทึกเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับเมืองเพชรบูรณ์อย่างมากมายในหนังสือชื่อว่า “ความไข้เมืองเพชรบูรณ์”
     ในยุคประชาธิปไตย สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 พ.ศ. 2486-2487 เมื่อจอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ออกพระราชกำหนดระเบียบบริหารราชการนครบาลเพชรบูรณ์ โดยตั้งใจจะย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่เพชรบูรณ์ โดยให้เหตุผลว่า เพชรบูรณ์มีชัยภูมิเหมาะสม มีภูเขาล้อมรอบ มีเส้นทางคมนาคมเข้าออกเพียงทางเดียว มีภูมิประเทศสวยงาม อากาศดี อยู่ตรงกลางของประเทศ เป็นศูนย์กลางภาคเหนือกับภาคอีสาน และกรุงเทพฯ และได้มีการย้ายหน่วยราชการ กระทรวง ทบวง กรม และหน่วยทหารต่าง ๆ มาไว้ที่เพชรบูรณ์เป็นจำนวนมาก  ทั้งยังได้ทำพิธียกเสาหลักเมืองหลวง นครบาลเพชรบูรณ์ ไว้ที่บุ่งน้ำเต้า อำเภอหล่มสัก ด้วย เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ก่อให้เกิดคุณูปการในการพัฒนาจังหวัดเพชรบูรณ์ในด้านต่าง ๆ อย่างมากมาย  แต่ต่อมาได้ถูกยกเลิกไปโดยมติของสภาผู้แทนราษฎร
     เมื่อ พ.ศ. 2510-2525  ได้เกิดความขัดแย้งแนวคิดทางการเมืองจนเกิดการสู้รบกันระหว่างรัฐบาลกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในเขตพื้นที่อำเภอเขาค้อ เป็นเวลากว่า 14 ปีจึงได้สงบลง โดยนโยบายการเมืองนำการทหาร  ไม่ใช้ความรุนแรงมาแก้ไขความขัดแย้งทางความคิด
     จากนั้น จังหวัดเพชรบูรณ์ก้ได้มีการพัฒนาให้เจริญรุ่งเรื่องในทุก ๆ ด้านทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมการเมือง ด้านการเกษตร ด้านวัฒนธรรม ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านการคมนาคม และพัฒนาให้เป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญจนมีการกำหนดวิสัยทัศน์จังหวัดเพชรบูรณ์ว่า “ดินแดนแห่งความสุข ของคนอยู่และผู้มาเยือน”
     ในปีมหามงคล พ.ศ. 2554 เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช  จังหวัดเพชรบูรณ์พร้อมด้วยพุทธศาสนิกชนและชาวเพชรบูรณ์ทุกหมู่เหล่าได้พร้อมใจกันสร้าง “พระพุทธมหาธรรมราชาเฉลิมพระเกียรติ ฯ “พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองเพชรบูรณ์ประดิษฐานไว้ ณ พุทธอุทยานเพชบุระ เพื่อเป็นการร่วมเฉลิมพระเกียรติและเป็นมหาพุทธานุสรณ์ ประกาศพระพุทธศาสนาให้ประดิษฐานอย่างมั่นคงบนแผ่นดินเพชรบูรณ์สืบไป




ภาพประวัติศาสตร์ พระมหากษัตริย์เสด็จเพชรบูรณ์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ พ.ศ. 2506 ที่หล่มสัก




เหตุการณ์สู้รบกับ พคท.บนเขาค้อ



แผนที่ไตรภูมิพระร่วง




พุทธอุทยานเพชบุระ(Pechabura Buddhist Park)
เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหาธรรมราชาเฉลิมพระเกียรติ ฯ ซึ่งสร้างจำลองมาจากพระพุทธมหาธรรมราชาพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองเพชรบูรณ์ ที่วัดไตรภูมิ  เป็นมหาพุทธานุสรณ์ ที่ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างเป็นจุดศูนย์ร่วมจิตใจของคนเพชรบูรณ์ นอกจากนั้น ยังเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมายุ 84 พรรษาในพ.ศ. 2554  องค์พระฯหล่อด้วยโลหะทองเหลืองบริสุทธิ์หนักกว่า 45 ตันที่ปลายยอดจุลมงกุฎหล่อด้วยทองคำบริสุทธิ์หนัก 126 บาท  องค์พระสูง 16.599 เมตร สูงจากพื้นดิน 35 เมตร ขนาดหน้าตัก 11.984 เมตร ซึ่งมีความหมายว่า
       1หมายถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราชทรงเป็นพระมหากษัตริย์หนึ่งในดวงใจของชนชาวไทยทั้งประเทศ
       1 หมายถึงพระพุทธมหาธรรมราชา ซึ่งมีเพียงองค์เดียวในโลกที่อัญเชิญมาประกอบพิธีอุ้มพระดำน้ำอันศักดิ์สิทธิ์ของเมืองเพชรบูรณ์
      9 หมายถึง รัชกาลที่9 แห่งบรมราชจักรีวงศ์
      84 หมายถึงวโรกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ทรงเจริญพระชนมายุ 84พรรษา
ใน วันที่ 26กันยายน 2554  สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯได้เสด็จพระราชดำเนินมาประกอบพิธีบรรจุพระบรม สารีริกธาตุจาก 9ประเทศไว้ที่ปลายยอดจุลมงกุฎและเบิกพระเนตรองค์พระพุทธมหาธรรมราชาเฉลิมพระ เกียรติฯ ณ พุทธยานเพชบุระ






ทะเลหมอก ภูทับเบิก เพชรบูรณ์  



วัดพระธาตุผาแก้ว เขาค้อ เพชรบูรณ์ 



วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2557

อุษณีย์นันท์ ทองใหญ่











สวัสดีค่ะ ชื่อ นางสาวอุษณีย์นันท์ ทองใหญ่
อายุ 21 ปี ศึกษาอยู่คณะนิเทศศาสตร์ สาขาภาพยนตร์และวีดีืทัศน์

ทัศนคติส่วนตัว เป็นคนชอบฟังเพลง ชอบอยู่กับเพื่อนแต่ไม่ติดเพื่อน ชอบความสนุกสนานเข้าสังคมกับเพื่อนหลายๆกลุ่ม ไม่ชอบการโดนบังคับ ไม่ชอบให้ใครมาพูดซ้ำบ่อยๆ ไม่ชอบการดูถูกคน.

กิจวัตรประจำวัน ตื่นไปเรียน เลิกเรียนก็อยู่กับเพื่อนบ้าง กลับหอพอตกเย็นก็ออกไปทานข้าวกับเพื่อนๆและอาจจะไปต่อที่ร้านนมบ้างนั่งคุยเข้าสังคมกับเพื่อนกับพี่ หรือบางวันก็ไปดูหนัง นั่งร้านกาแฟอ่านหนังสือฟังเพลง เข้าฟิตเนสออกกำลังกายบ้างแต่ส่วนใหญ่แต่ละวันจะใช้เวลาอยู่กับเพื่อนมากกว่าอยู่คนเดียว.

พฤติกรรมการใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต เป็นคนที่ถ้าเปิดคอมเมื่อไหร่ กิจกรรมที่เคยทำเช่น ออกไปหาเพื่อนหรือเข้าฟิตเนสจะหายไปเมื่อไหร่ที่อยู่หน้าคอมจะไม่สนใจอะไรและไม่ออกไปไหนเลย.

Website ที่ชอบเข้าไปและเหตุผลที่ชอบ ชอบเข้า www.youtube.com คือเป็นคนชอบฟังเพลงและที่ชอบเข้าเว็บไซด์นี้เพราะมันมีอะไรให้เราดูให้ฟังหลายอย่าง และมันทำให้เราเพลิดเพลินไปกับการดูเช่น ดูละครย้อนหลัง ดูภาพยนตร์ ดูคลิปตลกๆ หรือคลิปแปลกๆที่เราไม่เคยเห็นไม่เคยดูตามสื่อโทรทัศน์.