วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2557






ใหญ่ฟัดใหญ่ ศึกปะทะ Samsung Galaxy Note4 vs iPhone6 Plus







ย้อนกลับไปเมื่อปี 2550 เมื่อ Apple เปิดตัว iPhone เป็นครั้งแรก หน้าจอแสดงผลแบบสัมผัสขนาด 3.5 นิ้ว เป็นอะไรที่บิ๊กเบิ้มที่สุดในโลกยุคนั้นแล้ว และ Steve Jobs เองก็บอกว่า นี่คือขนาดหน้าจอที่ใหญ่ที่สุดที่ผู้ใช้งานสามารถใช้งานได้สะดวกด้วยมือข้างเดียว กาลเวลาวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว อีก 3ปีถัดมา Dell เปิดตัว Category ใหม่สำหรับอุปกรณ์พกพาคือ Phablet ด้วย Dell Streak 5 ซึ่งแม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร แต่ปีถัดมา Samsung ก็สานต่อแนวคิดดังกล่าว ด้วย Samsung Galaxy Note ซึ่งดูเหมือนจะเป็นการตอกย้ำว่า สิ่งที่ Steve Jobs บอกว่าหน้าจอ 3.5 นิ้วก็พอแล้ว Stylus ก็ไม่จำเป็นเพราะพระเจ้าประทานนิ้วมือทั้ง 10 มาให้แล้ว มันไม่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานหลายๆ คน
กระโดดข้ามมาอีก 4 ปี ปีนี้ พ.ศ.2557 ในที่สุด Apple ก็ต้านทานกระแสความต้องการสมาร์ทโฟนหน้าจอใหญ่ๆ ไม่ไหว และก็ต้องออก iPhone 6 Plus หน้าจอขนาด 5.5 นิ้วมาท้ารบกับเจ้าถิ่นเก่า ขาใหญ่ประจำ Category อย่าง Samsung Galaxy Note จนได้ ซึ่งทาง Samsung เองก็ออกหมัดสวนมาด้วย Samsung Galaxy Note4 ที่มีการปรับปรุงในหลายๆ ด้านเช่นกัน
ศึกใหญ่ฟัดใหญ่ครั้งนี้เลยน่าสนใจครับ ว่าใครจะเจ๋งกว่าใคร เรามาลองอ่านรีวิวปะทะกัน

ปะทะยกที่ 1: เปรียบเทียบกันที่สเปก

แน่นอนว่าในยกแรก ต้องว่ากันแบบยังไม่แกะกล่องกันก่อนนั่นก็คือ คุยกันที่ตัวเลขสเปก สมาร์ทโฟนสมัยนี้มันก็คอมพิวเตอร์ขนาดมือถือเราดีๆ นี่เอง หลายๆ คนจึงเลือกที่จะตัดสินใจซื้อโดยพิจารณาจากสเปกก่อน และตัวเลขสเปกเองก็เป็นอะไรที่เหล่านักการตลาดของแบรนด์ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝั่งที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android) เอามาเกทับบลัฟกันแหลก


พิจารณาสเปกของ Samsung Galaxy Note 4 เทียบกับ iPhone 6 Plus ด้านล่าง

Samsung Galaxy Note4
CPU           Exynos 5433 Octa-core (Quad-core Cortex-A53 1.3GHz + Quad-core Cortex-A57 1.9GHz)     (ARMv8) 64-bit
GPU          Mali-760
Display      Super AMOLED 2K 5.7″ 2560×1440 พิกเซล (515ppi)
RAM          3GB
Internal storage          32GB
External storage         รองรับ MicroSD card สูงสุด 128GB
Operating System       Android 4.4.4
2G                850/900/1800/1900MHz
3G                850/900/1900/2100MHz
4G                LET Cat 4
WiFi              802.11a/b/n/ac Dualband
Bluetooth      4.1,A2DP,EDR,LE
Infrared         มี
NFC              มี
Camera         ด้านหน้า 3.7 ล้านพิกเซล Wide angle)ด้านหลัง 16 ล้านพิกเซล พร้อม LED Flash และ Optical Image Stabilization
Battery           3,220mAh
Dimensions    153.5 มม. x 78.6 มม. x 8.5 มม.
Weight            176กรัม
Other              UV sensor, Heart Rate sensor, เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ
Price               25,900 บาท

Iphone6 Plus
CPU              Apple A8 Dual-core 1.4GHz (ARMv8) 64-bit
GPU              PowerVR GX6450 Quad-core
Display          IPS LCD Full 5.5″ HD1920x1080 พิกเซล (401ppi)
RAM              1GB
Internal storage            16GB/64GB/128GB
External storage           ไม่รองรับ
Operating System         iOS8.0.2
2G                850/900/1800/1900MHz
3G                850/900/1900/2100MHz
4G                LTE 700/800/850/900/1800/1900/2100/2600TD-LTE 1900/2300/2500/2600  (1/2/3/4/5/7/8/13/17/18/19/20/25/26/28/29/38/39/40/41)
WiFi              802.11a/b/n/ac Dualband
Bluetooth      4.0, A2DP, LE
Infrared         ไม่มี
NFC              มี (ใช้ได้กับ Apple Pay เท่านั้นในตอนนี้)
Camera         ด้านหน้า 1.2 ล้านพิกเซลด้านหลัง 8 ล้านพิกเซล พร้อม True Tone LED Flash และ Optical Image Stabilization เซ็นเซอร์ขนาด 1/3” พิกเซลขนาด 15 ไมครอน
Battery           2,915mAh
Dimensions    158.1 มม. x 77.8 มม. x 7.1 มม.
Weight            172กรัม
Other              เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ
Price               ราคาประมาณ (อ้างอิงราคาที่สิงคโปร์) 16GB 29,000 บาท64GB
33,000 บาท 128GB: 37,000 บาท

ว่ากันด้วยตัวเลขสเปกแล้ว เราจะเห็นว่ามีหลายจุดเลยที่ Galaxy Note4 นั้นดูดีกว่า iPhone6 Plus มาดูกันว่าแต่ละจุดนั้น แต่ละรุ่นดีเด่นกว่ากันตรงไหน อย่างไรกันบ้าง

หน่วยประมวลผล (CPU และ GPU)
ทั้ง Galaxy Note4 ที่ขายในไทยและ iPhone 6 Plus ต่างก็ใช้ CPU แบบ 64-bit ด้วยกันทั้งคู่ ทั้งคู่อยู่บนสถาปัตยกรรม ARMv8 หมด แต่ชิป Exynos 5433 นั้นเป็นแบบ big.LITTLE หรือก็คือ ประกอบไปด้วยชิปเซ็ต 2 ตัว คือ Quad-core 1.9GHz Cortex-A57 ที่เป็นตัว big ประสิทธิภาพสูง กับ Quad-core 1.3GHz Cortex-A53 ที่เป็นตัว LITTLE ประสิทธิภาพต่ำกว่า


ตัวชิปเซ็ต Exynos 5433 งวดนี้ รองรับการทำงานด้วยคุณสมบัติ Heterogeneous Multi-Processing หรือ HMP แล้ว ซึ่งนั่นทำให้หน่วยประมวลผลทั้งส่วน big และ LITTLE สามารถทำงานพร้อมกันได้ โดยแบ่งหน้าที่กันทำงาน ตัว big ที่ประสิทธิภาพสูงก็จะประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อนไป งานง่ายๆ ก็ให้ LITTLE เขาทำไป ในแง่ประสิทธิภาพนั้น big.LITTLE Octa-core นี่เลยมั่นใจได้ว่าแรงส์แน่นอน

มามองที่ Apple A8 กันบ้าง ตัวนี้ถ้าว่ากันตามสเปกแล้ว ก็จะดูด้อยกว่า เพราะเป็นแค่ Dual-core 1.4GHz เท่านั้น และเป็น GPU แบบ Quad-core ทว่าจุดเด่นของ iPhone 6 Plus คือ Apple เป็นผู้ออกแบบฮาร์ดแวร์เอง ดังนั้นการทำงานแบบสอดประสานระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์จึงสมบูรณ์แบบมากกว่า ฉะนั้น แม้ว่าตัวเลขจะไม่ได้ดูโดดเด่นอะไร แต่ความแรงก็ไม่น่าจะเป็นที่สองรองใครเช่นกัน

หน่วยความจำ

ถ้ามองว่าหน่วยความจำเป็นอะไรที่ยิ่งมีมากยิ่งดีอยู่แล้ว ตามตัวเลขสเปก Galaxy Note 4 ก็ย่อมจะดูดีกว่า เพราะให้มาตั้ง 3GB ในขณะที่ iPhone 6 Plus นั้นมีมาให้แค่ 1GB เท่านั้น หากใครมองตัวเลขแค่นี้ ย่อมรู้สึกว่า Galaxy Note 4 เหนือกว่าแน่นอน
แต่ก็อีกนั่นแหละต้องไม่ลืมว่าระบบปฏิบัติการ Android นั้นทำงานแบบ Multitasking ได้ ฉะนั้นการให้หน่วยความจำมาเยอะๆ ก็เพื่อรองรับการทำงานของ App ทั้งที่กำลังใช้งานอยู่ และที่รันเป็น Background นั่นแหละ ในขณะที่ระบบปฏิบัติการ iOS นั้น มีพวกที่รันเป็น Background บ้าง แต่ไม่ได้ทำงานแบบ Multitasking เต็มรูปแบบ ประกอบกับฮาร์ดแวร์กับซอฟต์แวร์ทำงานสอดประสานกว่า จึงบริหารจัดการหน่วยความจำได้ดีกว่า

หน้าจอแสดงผล

ตรงนี้ต้องขอบอกก่อนว่าผมเป็นติ่ง Super AMOLED ครับ เพราะชอบตรงที่มันให้สีสันที่สดจัดจ้าน และเวลาแสดงผลสีดำก็ดำสนิทดีจริงๆ แต่เรื่องนี้ก็เป็นอะไรที่นานาจิตตัง เพราะหลายๆ คนก็ชอบหน้าจอแสดงผลแบบ IPS LCD ที่ให้มุมมองกว้าง และแสดงสีสันที่สมจริงแต่ไม่สดจัดจ้านจนเกินไป
Galaxy Note 4 ให้ความละเอียดหน้าจอมา 2560×1440 พิกเซล หรือ ความหนาแน่นพิกเซล 515ppi ในขณะที่ iPhone 6 Plus นั้นก็ก้าวเข้าสู่โลกของ Full HD 1920×1080 พิกเซลแล้ว เมื่อขนาดหน้าจอใกล้เคียงกัน จึงมีความหนาแน่นพิกเซลน้อยกว่า โดยอยู่ที่ 423ppi เท่านั้น แต่ถามว่าสุดท้ายแล้วมันด้อยกว่ากันไหม?!?
                                                                     Note4

                                                                          Iphone6 Plus

ในทางทฤษฎีแล้วความหนาแน่นของพิกเซล (Pixel density) ยิ่งมากยิ่งดีครับ ภาพยิ่งคมชัด ดูได้จากภาพขยายนี่ จะเห็นว่าภาพขยายของหน้าจอ Galaxy Note4 จะมีความคมชัดขอตัวอักษรมากกว่าของ iPhone6 Plus อยู่ แต่ก็อีกนั่นแหละ กว่าจะแสดงให้เห็นความแตกต่างที่ว่านี่ได้ก็ต้องเอากล้องดิจิตอลความละเอียด 16.1 ล้านพิกเซล มาถ่ายมาโครระยะ 1 เซ็นติเมตร แล้วซูมเข้ามาดูแบบนี้นี่แหละ
สรุปแล้ว มองในแง่สเปก ความละเอียดหน้าจอของ Galaxy Note4 เหนือกว่า iPhone6 Plus แน่นอน แต่ในความรู้สึกของผู้ใช้งาน อาจจะไม่ได้สังเกตไปถึงขนาดนั้นล่ะ

Internal storage

เช่นเดียวกับหน่วยความจำครับ ยิ่งมีมากยิ่งดี ซึ่ง Galaxy Note 4 ให้มา 32GB ตามสไตล์ ก็มากเพียงพอต่อการใช้งานในหลายๆ ด้าน แต่ iPhone 6 Plus มีตัวเลือกให้มากกว่าครับ ตั้งแต่ 16GB สำหรับคนที่ไม่ได้กะใช้งานอะไรมากมาย ไปจนถึง 64GB ซึ่งผมมองว่าเหมาะกับผู้ใช้งานทั่วไปที่สุดในบรรดาสามรุ่นที่มีให้เลือก และสุดท้าย 128GB ที่เหมาะสำหรับคนที่อยากจะเก็บ Content ต่างๆ เอาไว้โดยไม่กะจะลบอะไรออกเลย แต่นั่นก็หมายถึงเม็ดเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นมาด้วยนะครับ

External storage

ข้อมูลบางอย่าง เช่น รูปถ่าย เพลง หรือไฟล์วิดีโอ มันไม่จำเป็นต้องเก็บไว้ใน Internal storage มันช่วยให้สะดวกในการถ่ายโอนข้อมูลมากขึ้น และเพิ่มเนื้อที่เก็บข้อมูลได้มากกว่าเดิม เช่น Galaxy Note4 เนี่ยมี Internal storage 32GB เพิ่ม External storage เข้าไปสูงสุดอีก 128GB ก็กลายเป็น 160GB แล้ว ในขณะที่ iPhone6 Plus นั้นมากสุดก็ได้แค่เท่าที่ Internal storage มีให้เท่านั้นเอง
อย่างไรก็ดี หากเทียบประสิทธิภาพระหว่าง Internal storage และ External storage แล้ว ก็ต้องยอมรับว่า Internal storage นั้นมีประสิทธิภาพดีกว่า ใช้งานได้คงทนกว่าครับ แต่ก็อีกนั่นแหละครับ มันเป็นการแลกกันระหว่างประสิทธิภาพกับค่าใข้จ่ายน่ะ ข้อมูลบางอย่างไม่ได้ต้องการประสิทธิภาพขนาดนั้น เช่น พวกเพลง หรือ ไฟล์วิดีโอ ใช้แค่ MicroSD card ก็เพียงพอแล้ว

การเชื่อมต่อแบบต่างๆ

ถ้านับเรื่องการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ทั้ง Galaxy Note4 และ iPhone6 Plus ก็รองรับเครือข่ายโทรศัพท์มือถือทั้ง 3 ค่ายที่ให้บริการในประเทศไทย ทั้ง 3G และ 4G เลยครับ ฉะนั้นหมดห่วงเรื่องความพร้อมในการใช้งาน แต่หากนำไปใช้งานในต่างประเทศ ด้าน 4G นั้น iPhone6 Plus ดูจะได้เปรียบกว่านิดหน่อย ส่วนเรื่อง WiFi หรือ Bluetooth นั้น ทั้ง Galaxy Note4 และ iPhone6 Plus รองรับได้ดีพอๆ กันเลย
แต่ Galaxy Note 4 ได้เปรียบกว่าตรง
  • รองรับ USB On The Go ที่เสียบแล้วนอกจากจะสามารถใช้งานกับพวก Flash drive หรือ Card reader ได้ทั้งอ่านและเขียนข้อมูลแล้ว ยังสามารถใช้กับอุปกรณ์อินพุตอื่นๆ เช่น Keyboard, Mouse หรือแม้แต่ Game controller ได้ด้วยน่ะ
  • มี Infrared port ไว้ให้ใช้งาน Galaxy Note 4 เป็นรีโมทคอนโทรลได้
  • มี NFC ที่ใช้งานในการรับส่งข้อมูลได้หลากหลาย ในขณะที่ iPhone6 Plus นั้นใช้ได้แค่สำหรับการทำ Apply Pay ในตอนนี้ (ในอนาคตก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรตามมาไหม)

กล้องดิจิอตล

ทั้งคู่มีกล้องดิจิตอลด้านหลังที่มี Optical Image Stabilization ด้วยกันทั้งสิ้น ถือว่ารู้ตัวทันนะ เพราะพวกอุปกรณ์หน้าจอใหญ่ขนาดนี้ โอกาสที่ถ่ายภาพแล้วจะเกิดอาการมือสั่นมันเป็นไปได้ง่าย การมี OIS เนี่ย จะช่วยให้ถ่ายภาพแล้วไม่สั่น


ในแง่ของสเปกแล้ว Galaxy Note4 มีกล้องดิจิตอลด้านหลังที่มีจำนวนพิกเซลมากกว่า คือ 16 ล้านพิกเซล F2.2 Backside-Illuminated Sensor (BSI) เป็นเซ็นเซอร์ของ Sony ช่วยให้ถ่ายภาพในสภาพแสงน้อยได้ดีขึ้น ในขณะที่ iPhone6 Plus ก็สู้กลับด้วยขนาดของเซ็นเซอร์ที่ใหญ่กว่า คือ 1/3″ และขนาดพิกเซล 15 ไมครอน เป็นแบบ Backside-Illuminated Sensor ซึ่งก็ช่วยให้เซ็นเซอร์รับแสงได้มากกว่า เวลาถ่ายภาพในสภาพแสงน้อยก็ย่อมทำได้ดีกว่า เมื่อวัดที่สเปกแล้วดูสูสี ก็คงต้องวัดกันที่คุณภาพในการใช้งานจริงล่ะนะ


แต่ถ้าไปพิจารณากล้องหน้าแล้วละก็ iPhone6 Plus แพ้ เพราะจำนวนพิกเซลให้มาแค่ 1.2 ล้านพิกเซลเท่านั้นเอง ไม่ได้มีพัฒนาการขึ้นมาจาก iPhone5s เลย ในขณะที่ Galaxy Note4 นั้นให้มา 3.7 ล้านพิกเซลแบบ Wide angle เพื่อให้ถ่ายภาพเซลฟี่มุมกว้างได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นการก้าวข้ามตัวเลข 2 ล้านพิกเซลเดิมๆ ของ Samsung มาซะที เพื่อตอบสนองกระแสการถ่ายภาพตนเองหรือเซลฟี่

ปะทะยกที่ 2: ดีไซน์ของตัวเครื่อง

ทั้งคู่เป็นสมาร์ทโฟนระดับ Flagship ฉะนั้น นอกจากสเปกที่แรงสะใจแล้ว มันก็ต้องมีดีไซน์ที่ดูดีให้สมกับค่าตัวเกิน 25,000 บาทของทั้งคู่ด้วยนะครับ ซึ่งตรงนี้ในอดีต Samsung ถูกปรามาสเอาไว้เยอะมาก เพราะเลือกใช้พลาสติกมาเป็นวัสดุทำตัวเครื่อง ในขณะที่ iPhone เองเลือกใช้อลูมิเนียม ซึ่งให้ความรู้สึกพรีเมี่ยมจากการเป็นโลหะ


Samsung Galaxy Note4 มีการปรับปรุงเพื่อแก้ข้อเสียเปรียบในแง่ความรู้สึกพรีเมี่ยมให้ลดน้อยลง ด้วยการเพิ่มเฟรมอลูมิเนียมเข้ามา และเคลือบสีตามสีของตัวเครื่องด้วย กระจกหน้าจอแสดงผลมีการทำขอบให้โค้งมน ให้ความรู้สึกลื่นสบายมือเวลาสัมผัส (แต่แลกมาด้วยการติดฟิล์มกันรอยแบบเต็มหน้าจอให้ครอบคลุมส่วนที่โค้งมนนี้ได้ยาก)

อย่างไรก็ดี ฝาหลังของ Galaxy Note4 ยังคงเป็นพลาสติกบางๆ อยู่ดีนะครับ อันนี้ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่า Samsung ยังคงเลือกที่จะให้ Galaxy Note4 นั้น สามารถถอดเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ และการถอดและใส่พวก Micro SIM card และ MicroSD card นั้นทำได้สะดวกสบาย ไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์เสริมแต่อย่างใด ในภาพรวม ก็ต้องถือว่า Samsung สอบผ่านในเรื่องการทำให้เกิดความรู้สึกพรีเมี่ยมมากขึ้น แต่ก็ยังคงมีจุดให้คนแซะได้อยู่


หันมามองที่ iPhone6 Plus กันบ้าง ยังคงมีความเป็นพรีเมี่ยมอยู่เต็มที่ ดีไซน์มีความคับคล้ายคับคลากับ iPad Air มากขึ้น มาสไตล์เดียวกันเลย แต่ว่าด้านหลังพอดูดีๆ แล้ว ก็ทำให้นึกถึง HTC One อยู่เหมือนกันนะ เช่นกันกระจกหน้าจอแสดงผลของ iPhone6 Plus นั้นก็มีลักษณะเป็นโค้งมนตรงขอบเช่นกัน ให้ความรู้สึกสัมผัสที่ดี แต่ก็ติดฟิล์มกันรอยให้ครอบคลุมได้ยากเช่นกัน



iPhone6 Plus ทำตัวเครื่องออกมาได้บางและเบา เป็นอานิสงส์จากการที่ทำแบตเตอรี่แบบ Built-in ไปในตัวเครื่องเลย ไม่ให้ถอดเปลี่ยนได้ แต่นั่นก็ทำให้ช่องใส่ Nano SIM card ต้องเป็นแบบถาดที่ต้องใช้อุปกรณ์มาจิ้มในรูเพื่อถอดเอาถาดใส่ซิมออกมา ไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่สำหรับคนที่ต้องเปลี่ยนซิม
เข้าออกบ่อยๆ แต่ผู้ใช้งานโดยทั่วไปจะไม่รู้สึกถึงความยุ่งยากนี้
เพราะพวกเขาไม่ค่อยได้เปลี่ยนซิมอยู่แล้ว



หลายๆ คน อาจจะได้ยินข่าวเรื่อง Bendgate หรือปัญหาที่ iPhone6 Plus สามารถถูกดัดให้งอได้ด้วยมือเปล่า และเมื่อไม่นานมานี้ก็มีคนเอา Galaxy Note4 มาลองงอบ้าง ซึ่งก็พบว่างอได้เหมือนกัน แต่ต้องออกแรงมากกว่า (พวกนี้ก็รวยเนอะ ซื้อมือถือมางอเล่น) จากที่ผมทดสอบมาพบว่า หากใส่กระเป๋ากางเกงด้านข้าง ทั้งคู่ไม่น่าจะเสียงกับอาการงอ แต่หากใส่กระเป๋ากางเกงด้านหลังแล้วนั่งทับ โอกาสที่จะเกิดความเสียหายย่อมมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็น Galaxy Note4 หรือ iPhone6 Plus

ปะทะยกที่ 3: ประสบการณ์ในการใช้งานทั่วไป

เริ่มจากการหยิบจับก่อน Galaxy Note4 นี่ พอหยิบจับแล้วมันให้ความรู้สึกกระชับมือมากกว่า 
iPhone6 Plus และผมไม่ได้คิดไปเอง ผมลองถามเพื่อนหลายๆ คน ให้เปรียบเทียบดู พวกเขาก็คิดเห็นเหมือนๆกัน อันนี้คงเพราะ Galaxy Note4 ถูกออกแบบออกมาให้มีขอบเหลี่ยมๆ ในขณะที่ 
iPhone6 Plus นั้นขอบจะกลมๆ มนๆ
แต่ในทางกลับกัน หากให้พูดถึงความสบายมือเวลาจับๆ ถือๆ ตัวเครื่องแล้ว ความรู้สึกในการสัมผัส iPhone6 Plus มากกว่า Galaxy Note4 เพราะจับแล้วมันไม่รู้สึกเหมือนมีอะไรแข็งๆ คมๆอยู่ในมือ
ทั้งคู่เป็นขนาดหน้าจอใหญ่เบิ้มระดับ 5.7 นิ้ว และ 5.5 นิ้ว ผมฟันธงให้ได้เลยว่าทั้งคู่ไม่เหมาะกับการใช้งานแบบมือเดียวซักเท่าไหร่หรอก คนมือใหญ่ๆ เนี่ยพอใช้มือเดียวได้บ้าง แต่คนมือเล็กๆ ไม่ไหวหรอก
ทั้ง Galaxy Note4 และ iPhone6 Plus ต่างก็ยังคงพยายามอำนวยความสะดวก สำหรับผู้ใช้งานที่อยากใช้งานแบบมือเดียว โดยมีแนวคิดที่แตกต่างกันแบบนี้


  • Galaxy Note4 เนี่ย เขาจะมีโหมดที่เรียกว่า One Hand Operation ที่จะย่อ User Interface ลง เพื่อให้สามารถใช้มือข้างเดียว แตะถึงจุดต่างๆ ได้  มีข้อดีตรงที่ยังคงเห็นการแสดงผลครบถ้วน และใช้มือข้างเดียวสามารถทำงานได้เต็มที่ดี แต่ก็มีข้อเสียตรงที่วิธีการเรียกใช้โหมดแสดงผลนี้มันยากไปหน่อย เพราะต้องลากนิ้วจากด้านนอกเข้ามาตรงกลางแล้วลากกลับไปด้านนอกอย่างรวดเร็วจากที่ผมลองใช้งานดู มันเรียกโหมดนี้ได้บ้างไม่ได้บ้างอะ นอกจากนี้บางคนอาจจะไม่ชอบ เพราะ User Interface มันถูกลดขนาดลง ดูแล้วแปลกๆ



  • iPhone6 Plus เพิ่มกระบวนท่าใหม่เข้ามา ให้แตะปุ่ม Home 2 ครั้งติดกัน ก็จะเป็นดึงเอาด้านบนของหน้าจอลงมาด้านล่าง ทั้งนี้เพราะว่าด้วยความที่ iPhone6 Plus มีแค่ปุ่ม Home เท่านั้น และพวกปุ่ม Back หรือปุ่ม Setting ต่างๆ บน App มันจะถูกเอาไปวางไว้ด้านบนของหน้าจอ ตามแนวทางการออกแบบ User Interface ของ App สำหรับระบบปฏิบัติการ iOS น่ะ การดึงด้านบนของหน้าจอลงมา ก็เพื่อทำให้แตะพวกปุ่มพวกนี้ง่ายขึ้น Apple เขาคิดแบบนั้นนะ แต่พอใช้งานจริงๆ มันมีข้อจำกัด 2 เรื่องใหญ่ๆ ครับ เรื่องแรกคือ พอดึงลงมาแล้ว User Interface ครึ่งล่างมันก็หายไป ฉะนั้นจึงเหมาะสำหรับการดึงลงมาเพื่อใช้แตะหน้าปุ่มด้านบนเฉยๆนะ เรื่องที่สองคือ แม้จะดึงด้านบนลงมา แต่ด้านกว้างมันก็ยังกว้างอยู่ คนมือเล็กๆ ก็ยังเอื้อมไปไม่ถึงสุดขอบอีกข้างอยู่ดีน่ะ
ถ้าไม่นับเรื่องความสวยงามนะ One-hand operation สไตล์ของ Samsung นั้น ช่วยให้คนมือเล็กๆ เข้าถึงปุ่มต่างๆ บนหน้าจอได้สะดวกไม่ว่าจะกวาดขึ้นไปด้านบน หรือเอื้อมไปแตะปุ่มที่อยู่อีกฟากของหน้าจอ ในขณะที่ Apple นั้น มันแค่ดูเหมือนจะช่วย แต่จริงๆ แล้วมันก็ยังมีช่องโหว่ (หมายถึงการเอื้อมนิ้วไปแตะอีกฟากของหน้าจอ) อยู่
การใช้งานในฐานะสมาร์ทโฟนทั่วไป ทั้ง Galaxy Note4 และ iPhone6 Plus นั้น ตอบโจทย์ได้ทั้งคู่
 จะใช้งาน Social media, ดูคลิปวิดีโอบน YouTube หรือ จะท่องเว็บต่างๆ ทำได้ดีไม่แพ้กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อระบบปฏิบัติการ iOS8 นั้น เริ่มยอมให้แต่ละ App สามารถเรียกใช้งานข้าม App กันได้ คล้ายๆ กับที่ระบบปฏิบัติการ Android ทำได้ ก็ยิ่งทำให้สู้สีกันมาก ในแง่ของการใช้งาน


Samsung จะได้เปรียบในแง่ของการใช้งานแบบ Multitasking หรือ การใช้งานพร้อมๆ กัน หลายๆ App เพราะมี Multi window ที่ได้รับการปรับปรุงให้ User Interface ใช้งานง่ายขึ้นด้วย โดยเปิดได้หลายๆ App พร้อมๆกัน และย่อเป็นหน้าต่างขนาดต่างๆ ได้ คล้ายๆ กับระบบปฏิบัติการ Windows เลย และการสลับระหว่าง App ก็มี User Interface ที่ดูดีขึ้น ทว่าโดยส่วนตัวมองว่าการเปิด App พร้อมๆ กันบนหน้าจอขนาดนี้ แค่ 2 Apps พร้อมกันก็เต็มกลืนแล้ว เปิดมากกว่านี้ มันก็ไม่ได้ทำงานแบบ Multitasking จริงจังนักหรอก นอกจากแค่ทำให้สลับไปมาระหว่าง App  ง่ายขึ้นเท่านั้น


ในขณะที่ระบบปฏิบัติการ iOS8 ของ Apple จะยังคงสไตล์เดิม ก็คือ ทำงานทีละ App และให้ทำงานเป็น Background เฉพาะเท่าที่จำเป็น เช่น โหลดข้อมูลมาเก็บไว้ หรือประมวลผลบางอย่างเท่านั้น แต่จะไปเล่นไฟล์วิดีโอไปพร้อมๆ กับท่องเว็บอย่างของระบบปฏิบัติการ Android นั้น เขาไม่ทำหรอก ส่วนหนึ่งก็เพราะจะได้ไม่ต้องใส่หน่วยความจำมาให้เยอะเวอร์นั่นแหละ


Galaxy Note4 จะได้เปรียบตรงที่มี S Pen ที่ตอบโจทย์คนที่ชอบใช้งานแบบจดโน้ต หรือวาดรูป
คือ S Pen มันเป็น Stylus ระดับเทพจริงๆ ยังไงซะ ในการจดโน้ตด้วยลายมือ หรือการวาดรูป Stylus ฟ้าประทานตามที่ Steve Jobs เคยบอกไว้ (หมายถึง นิ้วมือทั้งสิบของเรานั่นแหละ) มันก็ใช้งานไม่สะดวกเท่ากับอุปกรณ์ที่รูปร่างคล้ายๆ ปากกาหรอก
ดังนั้น เมื่อเอามาเทียบกันด้วยการจดลายมือ หรือ วาดรูป ด้วยความพยายามพอๆ กันแล้ว Galaxy Note4 + S Pen แสดงให้เห็นชัดว่าสามารถทำได้ดีกว่า รวดเร็วกว่า และสะดวกกว่าเป็นไหนๆ ไม่ใช่ว่า iPhone6 Plus จะวาดรูปสวยๆ ไม่ได้ เพียงแต่อาจจะต้องใช้ความพยายามหน่อย เช่น การซูมเข้าซูมออก เพื่อวาดเก็บรายละเอียด ในขณะที่ Galaxy Note4 + S Pen นั้น ไม่จำเป็นต้องซูมเข้าซูมออกเก็บรายละเอียดมากนัก เพราะตัว S Pen นั้น มี Resolution ค่อนข้างสูง และมี Pressure sensitivity (หมายถึง การตรวจจับแรงกด) ที่ดีอยู่แล้ว


ในกรณีของ iPhone6 Plus เอง ต้องไปซื้ออุปกรณ์เสริมอย่าง Adonit Jot Script มาใช้ (ลองพยายามใช้ Adonit Jot Pro ที่เคยซื้อมาใช้กับ iPad แล้ว มันไม่รุ่งเท่าไหร่) พร้อมกับเลือก App ที่รองรับ SDK (Software Developer Kit) ของ Adonit เพื่อให้มี Pressure sensitivity ที่ดีได้ ฉะนั้น ตัวเลือกในการใช้งานจึงน้อยกว่า และยังต้องเสียเงินซื้ออุปกรณ์เสริมเข้าไปอีก



แต่ iPhone6 Plus ได้เปรียบในแง่ของซอฟต์แวร์จำพวกการจัดการไฟล์ออฟฟิศ, ตัดต่อวิดีโอ และทำงานเพลงแบบง่ายๆ เพราะมีทั้งชุด iWorks (ประกอบไปด้วย Pages, Numbers และ Keynote), iMovies และ GarageBand มาให้ใช้ฟรีๆ ซึ่งแม้ว่าซอฟต์แวร์ทำนองนี้ จะพอพยายามหาบนระบบปฏิบัติการ Android ได้ แต่ส่วนใหญ่มันก็จะไม่ฟรี และ App แนว GarageBand บนระบบปฏิบัติการ Android ก็ไม่ได้มี User Interface ที่เข้าใจได้ง่ายๆ แบบ GarageBand
และอีกเรื่องหนึ่งที่ Samsung Galaxy Note4 ทำได้ดีกว่า iPhone6 Plus แบบไม่ต้องหาอุปกรณ์มาเพิ่มก็คือ การบันทึกเสียง ด้วยความที่มีไมโครโฟนอยู่ 3 ตัว ทำให้มีโหมดในการบันทึกเสียงที่หลากหลาย ทั้งบันทึกทางเดียว (ใช้ตอนบันทึกเสียงตัวเอง หรือ บันทึกเสียงคนอื่น), การบันทึกเสียงสำหรับการสัมภาษณ์ (เปิดไมโครโฟนทั้งสองด้าน ทำให้เสียงของเราที่พูด และเสียงของผู้ถูกสัมภาษณ์ ก็จะชัดทั้งคู่) หรือการบันทึกเสียงในห้องประชุม ใช้ไมโครโฟนทั้งสามตัว แยกแยะ และบันทึกเสียงรอบตัว
มองในแง่นี้ ด้าน Productivity ของ Galaxy Note4 และ iPhone6 Plus ก็ดีเด่นกันไปคนละด้าน


ในเรื่องของแบตเตอรี่ ทั้ง Galaxy Note4 และ iPhone6 Plus นี่ก็ใช้งานต่อเนื่องได้ยาวนานดี โดยส่วนตัวผมรู้สึกแบบนี้
  • Galaxy Note4 ค่อนข้างน่าประทับใจในความสามารถการบริหารจัดการพลังงานมาก เพราะด้วยสเปกฮาร์ดแวร์ที่มี CPU จำนวน Core สูง ความเร็วก็ไม่ใช่น้อยๆ แถมยังมีหน้าจอแสดงผลความละเอียดสูงแบบ 2K อีก ในขณะที่แบตเตอรี่ก็ยังคงเดิมๆ คือ 3,220mAh แต่กลับสามารถใช้งานปกติในชีวิตประจำวันของผมได้ชนิดที่เรียกว่าครบวัน ออกจากบ้านไปทำงาน ไม่มีการชาร์จแบตเตอรี่ระหว่างวัน และกลับมาถึงบ้านซักสี่ทุ่ม แบตเตอรี่ก็ยังพอเหลืออีกราวๆ 10% ซึ่งหากวันไหนใช้เยอะกว่าปกติ ช่วงขากลับก็ใช้ Ultra Power Saving Mode เพื่อยืดระยะเวลาในการใช้งาน เพื่อให้พอเล่น Twitter, Facebook, LINE หรือโทรศัพท์ได้อีกประมาณ 50% จากปกติ ความสามารถในการชาร์จแบตเตอรี่อย่างรวดเร็ว หรือ Adaptive Fast Charging (ต้องใช้กับ Wall charger ที่มากับเครื่อง) ก็ช่วยให้ผมอัดไฟกลับเข้าไปในเครื่อง เพื่อให้พร้อมใช้ได้อย่างรวดเร็วอีกเช่นกัน หากต้องรีบเร่งจริงๆ แค่ 10 นาที ก็อัดแบตเตอรี่กลับไปได้เยอะแล้ว (จากการทดสอบ ผมพบว่า Adaptive Fast Charging สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ราวๆ 45%-50% ภายในเวลา 30-35 นาที)
  • iPhone6 Plus ให้แบตเตอรี่มาไม่แพ้ Galaxy Note 4 มากนัก คือให้มาถึง 2,915mAh เลย ประกอบกับการที่ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ทำงานได้สอดประสานดี การบริหารจัดการพลังที่ดีเยี่ยม และหน้าจอความละเอียดต่ำกว่าของ Galaxy Note4 การใช้งานตามสไตล์ให้รอดพ้นวันนึงโดยไม่ต้องชาร์จแบตเตอรี่ก็จึงทำได้ไม่ยากเช่นกัน เพียงแต่ในกรณีฉุกเฉินนั้น iPhone6 Plus ไม่ได้มีโหมด Ultra Power Saving ให้ช่วยยืดระยะเวลาในการใช้งาน และไม่มีระบบชาร์จแบตเตอรี่รวดเร็วด้วย อย่างไรก็ดี หากถามว่ามันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายไหม? ในยุคที่ PowerBank หาง่ายแบบชนิดเดินเข้า 7-Eleven ก็ซื้อกันได้ ผู้ใช้งานส่วนใหญ่น่าจะมีแบตเตอรี่สำรองพวกนี้พกไว้คนละก้อนอยู่แล้ว จึงไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่นัก เพียงแต่อาจจะไม่สะดวกตรงที่ต้องพกติดตัวไปนี่แหละ
พิจารณาในเรื่องแบตเตอรี่ งวดนี้ยกให้ Galaxy Note4 ชนะไป เพราะสเปกที่แรงกว่า หน้าจอความละเอียดสูงกว่า แต่ยังสามารถบริหารจัดการให้ใช้แบตเตอรี่ที่มีมากกว่า iPhone6 Plus เพียงนิดเดียว แต่แบตเตอรี่อึดได้ไม่แพ้กันซักเท่าไหร่เลย และที่ทำให้ Galaxy Note4 เหนือกว่า iPhone6 Plus ในเรื่องแบตเตอรี่ก็คือเรื่องของ Adpative Fast Charging การชาร์จแบตเตอรี่ได้เสร็จรวดเร็ว มันมีประโยชน์ในบางสถานการณ์อย่างคาดไม่ถึงจริงๆ (เช่น ลืมชาร์จแบตเตอรี่เมื่อคืน ตื่นมาจะไปทำงาน ก็เสียบสายชาร์จไว้ก่อน ระหว่างอาบน้ำแต่งตัวก็ได้แบตเตอรี่กลับมาหลายเปอร์เซ็นต์อยู่)

การเล่นเกมบน Galaxy Note4 เทียบกับ iPhone6 Plus

จากผลการวัดประสิทธิภาพแล้ว ทั้งคู่มีฮาร์ดแวร์ที่แรงพอที่จะเล่นเกมกราฟิก 3D สวยๆ ได้อย่างสบายๆ  ลองเล่นเกม Modern Combat 5: Blackout แล้ว พบว่าไหลลื่น ไม่มีอาการกระตุกแต่อย่างใด และด้วยหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่แล้ว การเล่นเกมก็ได้เต็มตาเต็มอารมณ์ดีมากทีเดียว
คือ ถ้าวัดกันที่การเล่นเกมเดียวกันแล้วทั้งคู่ทำได้สูสีกันเลยล่ะแต่ iPhone6 Plus จะได้เปรียบกว่า Galaxy Note4 ในสองเรื่อง อย่างแรกคือ ตัวเลือกของเกมมีเยอะกว่า เพราะพวกเกมกราฟิกสวยๆ และเกมสนุกๆ หลายๆ เกม มันยังไม่มีให้เล่นบนระบบปฏิบัติการ Android เช่น เกมตระกูล Street Fighter, Resident Evil หรือ เกมตระกูล Infinity Blade เป็นต้น อย่างที่สองก็คือ ในกรณีที่เราต้องเปลี่ยนเครื่อง (เช่น เสีย พัง ต้องเปลี่ยนใหม่ หรือ ซื้อเครื่องใหม่มาใช้) เราก็สามารถ Backup แล้วไป Restore ลงเครื่องใหม่ได้เลย ซึ่งสำหรับระบบปฏิบัติการ Android แล้ว มันไม่ใช่อะไรที่ผู้ใช้งานทั่วไปจะทำได้ง่ายๆ ซักเท่าไหร่


แม้ว่าปัจจุบันได้เห็นหลายๆ เกมเริ่มมีการเซฟเกมเก็บไว้บน Cloud (หรือก็คือบนเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่บนอินเทอร์เน็ต) กันมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ใช่อะไรที่แพร่หลายนัก

ประสบการณ์ด้านความบันเทิงและมัลติมีเดียของทั้งสองรุ่น

ตัว Music player ของ Galaxy Note4 นั้นก็เรียกว่าโอเคอยู่มี User Interface เรียบง่าย ดูใช้งานไม่ยุ่งยากเท่าไหร่ ความได้เปรียบอยู่ในความเป็นระบบปฏิบัติการ Android แค่เสียบสาย USB ต่อเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ ก็สามารถถ่ายโอนไฟล์เพลง หรือ ไฟล์หนัง ลงไปบนตัวเครื่องได้สบายๆ แล้ว


และในกรณีที่เคยชินกับการใช้โปรแกรม iTunes ในการบริหารจัดการไฟล์เพลง เราก็สามารถดาวน์โหลด App อย่าง doubleTwist มาติดตั้งทั้งบน Galaxy Note4 และบนเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา เพื่อทำการ Sync ทั้งไฟล์เพลงและ Playlist ไปใช้งานได้



ในขณะที่ iPhone6 Plus นั้น การจะเอาไฟล์เพลงลงเครื่อง ต้องทำผ่าน iTunes เป็นหลัก แต่ก็มีจุดเด่นที่ได้เปรียบอีกเรื่องคือ ในกรณีที่เราซื้อเพลงฟังอย่างถูกลิขสิทธิ์ผ่านทาง iTunes Store ละก็ แม้เราจะไม่มีเพลงนั้นอยู่ในเครื่อง เราก็สามารถ Streaming จากอินเทอร์เน็ตมาฟังได้และเพลงใหม่ๆ ก็มีให้เลือกซื้อบน iTunes Store มากมาย ในขณะที่ Google Play Music นั้นปัจจุบันยังไม่มีให้บริการในประเทศไทย
โดยส่วนตัว ผมชอบหน้าจอแสดงผล Super AMOLED เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และความละเอียดหน้าจอ 2K นี่ก็ให้ภาพที่คมชัดจริงจังมาก แต่ก็มีผู้ใช้งานอีกจำนวนหนึ่ง (ซึ่งก็ไม่น้อยเลย) ที่ชอบหน้าจอแสดงผลแบบ IPS LCD มากกว่า และอย่างที่บอกไปในตอนแรก แม้ว่าหากสังเกตให้ดี(มากๆ) แล้วจะพบว่าหน้าจอความละเอียดสูงของ Galaxy Note4 นั้นคมชัดกว่าหน้าจอระดับ Full HD ของ iPhone6 Plus แต่มันก็ไม่ใช่อะไรที่แตกต่างกันมากอย่างเห็นได้ชัดเลย


เช่นเคย Galaxy Note4 ได้เปรียบเรื่องความง่ายในการถ่ายโอนข้อมูลมากกว่า iPhone6 Plus แต่เมื่อเป็นกรณีของการเลือกซื้อภาพยนตร์แบบถูกลิขสิทธิ์แล้ว ตรงนี้ Galaxy Note4 ด้อยกว่าหน่อยครับ คือก็พอมีตัวเลือกให้บ้าง เพราะ Google Play Movies มันมีให้บริการในประเทศไทยแล้ว ทว่าตัวเลือกยังไม่มากเท่ากับของ iTunes Store ครับ เช่น ในขณะที่เขียนรีวิวนี้อยู่ ภาพยนตร์เรื่อง Maleficent นั้น บน iTunes Store มีวางจำหน่ายแล้ว แต่ Google Play Movies ยังไม่มี
สำหรับลำโพง ต้องบอกเลยว่า iPhone6 Plus ได้เปรียบทั้งในแง่ที่ลำโพงมีขนาดใหญ่กว่าและวางตำแหน่งไว้ที่ข้างล่างของเครื่อง ซึ่งไม่เหมือนกับ Galaxy Note4 ที่นอกจากลำโพงจะเล็กกว่า ยังต้องปรับแต่งเสียงให้ชดเชยการสูญเสียย่านสูงจากการที่ลำโพงอยู่หลังเครื่อง ทำให้มีเสียงที่บางและฟุ้งกระจาย ขาดความกระชับของเนื้อเสียง รวมไปถึงน้ำหนักของเสียง มิติ ความชัดของรายละเอียด แม้ว่า Galaxy Note4 จะทำออกมาได้ไม่ขี้เหร่ แต่เปรียบเทียบกันแล้วต้องบอกว่า iPhone6 Plus ให้ความเพลิดเพลินด้านเสียงได้ดีกว่ามากทั้งในแง่การฟังเพลง ดูภาพยนต์ หรือเล่นเกมส์
เปรียบเทียบเสียงจากการฟังผ่านช่องหูฟังด้วย Apple Earpods พบว่าทั้งสองเครื่องให้คุณภาพเสียงในระดับที่ใกล้เคียงกันมากๆ ที่ต่างกันชัดๆ ก็คือ iPhone6 Plus จะแสดงช่วงเสียงต่ำออกมามากกว่า มีภาพรวมที่แหลมชัดและฟังดูเต็มกว่า ในขณะที่ Galaxy Note4 จะมีช่วงเสียงต่ำที่ฟังดูกระชับพอดี มีช่วงเสียงสูงที่ออกนวลฟุ้งมากกว่า ทั้งนี้โดยรวมถือว่าให้คุณภาพในระดับใกล้เคียงกันมากจนไม่ขอตัดสินว่าตัวไหนชนะ

การถ่ายรูปและถ่ายวิดีโอ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างสองรุ่น

อย่างที่ได้บอกไปในตอนต้นว่า Galaxy Note4 ได้เปรียบเรื่องจำนวนพิกเซลที่มากกว่า iPhone6 Plus ส่วนในเรื่องการถ่ายภาพในสภาพแสงน้อยนั้น ต่างฝ่ายต่างงัดเทคโนโลยีมาข่มกัน Galaxy Note4 มี Backside-Illuminated Sensor (BSI) พร้อมกับโหมดถ่ายภาพกลางคืน ส่วน iPhone6 Plus ใช้เซ็นเซอร์ขนาด 1/3″ ขนาดพิกเซล 15 ไมครอน แบบ Backside-Illuminated Sensor และมีอัลกอริธึ่มในการจัดการเรื่องแสงของภาพซะใหม่ ส่วนเรื่องกันสั่นต่างฝ่ายต่างก็จัด Optical Image Stabilization มาให้ เลยวางใจได้ระดับนึงว่าแม้จะมือสั่นเวลาถ่ายไปบ้าง ภาพก็จะไม่ถึงกับเบลอเละเทะไป


ในด้านลูกเล่นของ Stock camera app นั้น Samsung จัดลูกเล่นมาให้ค่อนข้างเยอะกว่าครับ ทั้งโหมดการถ่ายภาพแบบต่างๆ และสามารถดาวน์โหลดเพิ่มได้ สามารถปรับแต่งอะไรหลายๆ อย่างได้ค่อนข้างสะดวก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Live HDR ที่ให้ผู้ใช้งานได้เห็นเลยว่าถ้าถ่ายโหมด HDR แล้วจะได้ภาพออกมาแบบไหน นอกจากนี้ งวดนี้ Galaxy Note4 ก็มีคุณสมบัติการปรับชดเชยแสงด้วยการแตะบนหน้าจอซะที เพียงแต่ว่าต้องแตะค้างเอาไว้ครับ มันถึงจะปรับชดเชยแสงให้ ทว่าเท่าที่ลองใช้ มันยังปรับได้ไม่ค่อยดีเท่า iPhone6 Plus
เพราะความที่มีลูกเล่นเยอะ User Interface ของ Galaxy Note4 เลยดูซับซ้อน ประกอบกับการที่ดูเหมือน Samsung จะมีการปรับ User Interface อีกเล็กน้อย เลยทำให้อะไรหลายๆ อย่าง เข้าถึงยากกว่าเดิม (ไม่รู้จะปรับให้ยากกว่าเดิมไปทำไม) ใช้งานไม่ง่ายเหมือนกับ iPhone6 Plus


ในทางกลับกัน iOS8 บน iPhone6 Plus มีลูกเล่นเพิ่มขึ้นมาเยอะกว่าสมัย iOS7 อยู่ 2-3 จุด ได้แก่ ตั้งเวลาถ่ายภาพได้ มีโหมด Auto HDR ให้ซอฟต์แวร์ตัดสินใจเองว่าจะถ่ายด้วย HDR ไหม และงวดนี้สามารถปรับชดเชยแสงได้แบบ Manual แล้ว ด้วยการแตะบนหน้าจอ แล้วเลื่อนตัวเลื่อนรูปดวงอาทิตย์เอา ลูกเล่นของ iPhone6 Plus มีจำกัด และปรับแต่งอะไรได้ไม่ค่อยมาก หากอยากจะปรับโน่นปรับนี่ได้ตามใจ ต้องไปดาวน์โหลด App ถ่ายภาพตัวอื่นมาใช้แทน ซึ่งก็มีหลายๆ ตัว ที่ช่วยให้ iPhone6 Plus สามารถปรับแต่งได้ มีลูกเล่นเยอะไม่แพ้ Galaxy Note4 เลยด้วย แต่ก็ทำให้ User Interface ของ iPhone6 Plus ไม่ซับซ้อน ใช้ถ่ายรูปได้ไม่ยาก
แต่ถ้าจะพิจารณาเรื่องความสามารถในการใช้งาน ผมว่าถ้าเกิดเราเลือก App ถ่ายภาพดีๆ มาติดตั้ง ทั้งคู่ก็น่าจะมีลูกเล่นสูสีไม่แพ้กันครับ ฉะนั้น แพ้ชนะต้องมาวัดกันที่คุณภาพของรูปถ่ายจะดีกว่า ลองดูรูปต่อไปภาพทางซ้ายคือภาพจาก Galaxy Note 4 ส่วนภาพทางขวาคือภาพจาก iPhone6 Plus 







 พบว่า ในสภาพแสงที่เหมาะสม การถ่ายภาพด้วย Galaxy Note4 นั้นให้ภาพที่คมชัด สีสันสดจัดจ้านดีกว่า และเวลาถ่ายในอาคารนั้น ก็ให้สีสันที่ถูกต้องมากกว่า เช่น ภาพบราวน์กับโคนี่ ที่ Galaxy Note4 ถ่ายออกมาได้ค่อนข้างคมชัด สีสันสดดี แต่ iPhone6 Plus นั้นภาพออกมาอมเหลือง และแอบดูเบลอๆเล็กน้อย อย่างไรก็ดี ความคมชัดมากเกินไปของ Galaxy Note4 บางครั้งก็ทำให้ภาพมันดูจริงเกินเหตุ

 



ทีนี้มาดูตอนถ่ายภาพในสภาพแสงน้อยๆ ดูบ้างพบว่า Galaxy Note4 มีลูกเล่นในการถ่ายภาพต่อเนื่องหลายภาพ เพื่อนำมาประกอบเป็นภาพที่สีสันเหมือนตอนอยู่ในที่สว่าง ในขณะที่ iPhone6 Plus นั้นจะให้สีสันและความสว่างค่อนข้างสมจริงตามสภาพนั้นมากกว่า จุดนี้ Galaxy Note4 จะมีข้อจำกัดตรงที่ต้องมือนิ่งๆ เวลาถ่ายแป๊บนึง (แต่ไม่ต้องถึงกับนิ่งมาก) และต้องอาศัยเวลาแป๊บนึงในการประมวลผล ในขณะที่ iPhone6 Plus นั้นถ่ายภาพต่อเนื่องได้ดีกว่า
อีกภาพนึงที่น่าสนใจคือรูปบราวน์กับโคนี่ที่ถ่ายตอนอยู่ในโรงจอดรถ ทั้งสองภาพเป็นภาพถ่ายแบบออโต้ ไม่ไปวัดสงวัดแสงที่ไหนทั้งนั้น เช่นเคย Galaxy Note4 มาตามสไตล์เดิมแสงภายนอกน้อยก็ถ่ายภาพต่อเนื่องเอามาประกอบกันกลายเป็นภาพที่ดูสว่างขึ้นเยอะเลย ส่วน iPhone6 Plus นั้นภาพจะออกแนวมืดกว่าความเป็นจริงไปหน่อยแต่ดูไม่สว่างหลอกตานะถ้าไปวัดแสงตรงบริเวณตัวของบราวน์ก็จะได้ภาพสว่างๆมาแนวเดียวกับ Galaxy Note4
แต่ถ้ามันมืดมากๆ กล้องดิจิตอลอะไรก็เอาไม่อยู่หรอก ยกเว้นจะถือได้นิ่งมากๆ แล้วเปิดหน้ากล้องค้างไว้นานๆ ฉะนั้น สำหรับสมาร์ทโฟนแล้วก็เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องใช้แฟลชบ้างอะไรบ้าง คำถามคือ เมื่อถ่ายรูปด้วยแฟลชแล้วมันจะโอเคไหม เลยลองดูพบว่าแฟลชของ Galaxy Note4 นั้นจากกที่ลองหลายๆช็อตแล้วความสว่างมันไม่วาบไปถึงด้านหลังไป
ในด้านการถ่ายวิดีโอนั้น ทั้งสองรุ่นมีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไปดังนี้
  • Galaxy Note4 เด่นตรงที่สามารถถ่ายวิดีโอความละเอียด UHD (3840×2160 พิกเซล) ได้ มีลูกเล่นต่างๆไม่ว่าจะเป็น Slow motion หรือ Timelapse ให้เลือกใช้ด้วยหลายๆ คน อาจจะมองว่าการถ่ายวิดีโอความละเอียดระดับ UHD นั้นเกินความจำเป็นไปไหม แต่ผมมองว่าในอนาคตความละเอียดการแสดงผลระดับนี้จะเป็นเรื่องปกติมากแล้ว ฉะนั้น การถ่ายวิดีโอความละเอียดระดับนี้ไว้ เพื่อเก็บไว้ดูในอนาคตก็ไม่น่าจะใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ข้อเสียของ Galaxy Note4 ก็คือ ไม่สามารถปรับชดเชยแสงในระหว่างการถ่ายวิดีโอได้ ก็เลยทำให้ไม่ค่อยสะดวกนักเวลาถ่ายวิดีโอในหลายๆ สถานการณ์ซักเท่าไหร่
  • iPhone6 Plus แม้จะไม่สามารถถ่ายวิดีโอความละเอียดสูง UHD ได้ แต่ความละเอียดระดับ Full HD ก็เรียกว่าเพียงพอสำหรับตอนนี้และอีกหลายๆ ปีข้างหน้าอยู่ แต่จุดเด่นของ iPhone6 Plus คือ ความสามารถอะไรก็ตามที่ใช้ได้บนโหมดถ่ายภาพนิ่ง ในโหมดถ่ายวิดีโอก็ทำได้หมดเช่น การปรับชดเชยแสงด้วยการแตะบนหน้าจอหรือแม้แต่การล็อก AF/AE ได้ ซึ่งทำให้การถ่ายวิดีโอเป็นไปได้อย่างสะดวกโยธินมากกว่า Galaxy Note4 มากทีเดียว
Galaxy Note4 นั้นสามารถถ่ายวิดีโอได้ค่อนข้างดี แต่ถ้าเทียบกันแค่สองรุ่นนี้แล้วต้องหารุ่นที่ดีกว่ายกให้ iPhone6 Plus เหมาะกับการใช้งานถ่ายวิดีโอในทุกสถานการณ์มากกว่า และเมื่อรวมกับ iWorks ที่สามารถตัดต่อวิดีโอได้ง่ายมากๆแล้ว iPhone6 Plus แทบจะเป็น One-stop-service สำหรับการผลิตงานวิดีโอเลยล่ะ

ลูกเล่นอื่นๆ ของ Galaxy Note4 vs iPhone6 Plus

หัวข้อนี้ดูจะเป็นตัวได้เปรียบของ Galaxy Note4 อยู่บางส่วนเพราะสไตล์ของ Samsung นั้นชอบใส่ลูกเล่นอะไรแปลกๆมาอยู่เรื่อย อย่างเช่นงวดนี้ก็มีทั้งเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ (Heart rate sensor) และเซ็นเซอร์วัดความเข้มของแสงยูวี (UV Sensor) และมาพร้อมกับ S Health ที่เป็น App สำหรับคนที่รักสุขภาพใช้ติดตามประวัติการทานอาหาร ใช้เป็นคู่หูและคู่มือในการออกกำลังกายพร้อมกับเก็บข้อมูล ซึ่ง Samsung เองก็มีตัว Wearable device อย่าง Galaxy Gear 2, Galaxy Gear Fit และเร็วๆ นี้ก็จะมี Galaxy Gear S วางจำหน่ายให้ใช้คู่กันเป็น Activity tracker อีก
ในขณะที่ iPhone6 Plus แม้จะไม่ได้มีพวกลูกเล่นอะไรมาเสริมมากมาย แต่ก็มี Health app กับเขาเหมือนกัน โดยจะทำหน้าที่เก็บรวบรวมข้อมูลมานำเสนอเช่นกัน แต่ด้วยความที่เป็นแบรนด์ไฮเอนด์ที่มีคนนิยมมาก (แม้ปัจจุบันส่วนแบ่งตลาดของ iPhone เทียบกับ Android smartphone จะสู้ไม่ได้ แต่หากมาวัดแค่ระดับไฮเอนด์ด้วยกันแล้ว iPhone ก็ยังถือว่ามีส่วนแบ่งการตลาดสูงอยู่) ก็เลยมี 3rd Party ทำอุปกรณ์เสริมมารองรับไม่น้อย ซึ่งตรงนี้ก็ชดเชยส่วนที่ iPhone6 Plus ไม่มีได้
แต่ Samsung ก็ยังมีลูกเล่นอื่นๆ นอกเหนือจากลูกเล่นในส่วนของสุขภาพ เช่น อินฟราเรดเอาไว้ทำให้ Galaxy Note4 เป็นรีโมทคอนโทรล หรือ NFC ที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูลจริงๆ (ในขณะที่ Apple ตอนนี้ให้ NFC บน iPhone 6 Plus เอาไว้แค่ทำ Apple Pay)
เอาเป็นว่า ถ้าใครชอบลูกเล่นเยอะๆ ละก็ Galaxy Note4 น่าจะเป็นคำตอบเพราะมีลูกเล่นเพียบแบบไม่ต้องหาซื้ออุปกรณ์อะไรมาเสริมเพิ่มเติมนัก แต่หากใครไม่ซีเรียสเรื่องต้องควักกระเป๋าเพิ่มเพื่อเสริมศักยภาพในการใช้งานละก็ iPhone6 Plus ก็ไม่ได้ด้อยกว่าเท่าไหร่ (ขอแค่มีเงินซื้ออุปกรณ์มาเสริมเถอะ)

บทสรุปการรีวิวเปรียบเทียบ Galaxy Note4 vs iPhone6 Plus

Galaxy Note4 เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการเน้นไปที่อรรถประโยชน์ (Utilities) มากกว่า เพราะมีอะไรหลายๆอย่างครบถ้วนอยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้วและความสามารถในการใช้งานในฐานะสมาร์ทโฟนก็ทำได้ดี กล้องดิจิตอลก็มีคุณภาพที่ดีใช้ได้ทีเดียว แม้ว่าสนนราคาจะแอบแรงอยู่ที่ 25,900 บาท แต่หากเทียบกับ iPhone6 Plus แล้วละก็ ยังไงก็ยังถูกกว่าอยู่ไม่น้อยเลยละ
iPhone6 Plus เป็นตัวเลือกหลักสำหรับสาวกทั้งหลายแต่สำหรับคนทั่วไปมันจะเป็นอะไรที่ตอบโจทย์หากคุณมองที่ภาพกว้างว่าลูกเล่นต่างๆที่อยากได้ สามารถหาซื้ออุปกรณ์เสริมเอาได้ แต่ต้องการสมาร์ทโฟนที่มีระบบนิเวศน์ (Ecosystem) ที่ใหญ่เพื่อจะได้หมดห่วงเรื่องอุปกรณ์เสริมต่างๆของเล่นเสริมที่จะสามารถหาซื้อมาใช้ร่วมกับสมาร์ทโฟนได้ ตรงนี้คือจุดขายที่แข็งมากของ iPhone6 Plus แต่นั่นก็อยู่บนพื้นฐานที่ว่าเราต้องยอมจ่ายแพงกันหน่อย





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น